สิ่งที่ผมพูดอยู่บ่อยๆคือ การวางตำแหน่งของแบรนด์หรือการกำหนดจุดยืนของแบรนด์ (Brand Positioning) อย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่โคตรจำเป็นในการทำธุรกิจ
แต่บางธุรกิจก็อาจจะบ่นว่า ทำไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาเลย
จริงๆถ้าใครกำลังเจอปัญหาแบบนี้อยู่ผมอยากให้คุณลองเช็คสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ดูนะครับ
ผมจะพาไปดูความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นกับการวางตำแหน่งแบรนด์กันว่ามีอะไรบ้าง?
“ลองอ่านดูครับ” บางที…คุณอาจจะกำลังพลาดเรื่องสำคัญโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
1. Under positioning (การวางตำแหน่งต่ำเกินไป)
ความพลาดนี้เกิดจากการที่คุณไม่ได้แสดง “ความแตกต่าง” ของแบรนด์ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด หรือ ไม่ได้ให้ข้อมูลมากพอที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายเห็นคุณค่าในแบรนด์ของคุณ
ซึ่งมันทำให้คุณเสียโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และกำไรส่วนเพิ่มให้กับธุรกิจ ไปแบบต่อหน้าต่อตา
“ยกตัวอย่างเช่น”
แบรนด์ที่เน้นย้ำแต่เพียงประโยชน์จากตัวสินค้า (Functional Benefits) เฝ้าแต่จะบอกว่าสินค้าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้
โดยที่ลืมไปว่า จริงๆแล้วมันยังมีประโยชน์ด้านอื่นที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์ได้อีก เช่น ประโยชน์ทางด้านอารมณ์ (Emotional Benefits) เช่น ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดี จะส่งผลให้ผู้บริโภคมีความภาคภูมิใจเวลาใช้สินค้า และยอมที่จะจ่ายมากกว่า เพื่อซื้อภาพลักษณ์นั้น เป็นต้น
เพราะฉะนั้น แม้สินค้าของคุณจะคุณภาพดีแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่ได้ต่างจากคู่แข่ง คุณต้องไม่ลืมที่จะคำนึงถึงการนำเสนอจุดยืนด้านอื่น เพื่อที่จะช่วงชิงพื้นที่ในใจของกลุ่มเป้าหมายด้วยนะครับ
2. Over positioning (การวางตำแหน่งสูงเกินไป)
ข้อนี้เป็นความพลาดที่เกิดจากการที่คุณวางจุดยืนของคุณ “แคบ หรือ เฉพาะเจาะจงเกินไป” ซึ่งส่งผลให้ภาพลักษณ์แบรนด์ของคุณในใจผู้บริโภคเกิดข้อจำกัด และทำให้ตลาดของคุณแคบลงโดยไม่จำเป็นครับ
“ยกตัวอย่างเช่น”
– แบรนด์ครีม กำหนดจุดยืนว่าเหมาะกับคนที่เป็นสิวเท่านั้น ทั้งที่จริงๆแล้ว ครีมมีคุณสมบัติอื่นอีกมาก ที่เหมาะกับคนที่ไม่ได้เป็นสิวด้วย
– แบรนด์สร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นแบรนด์ Hi-End โดยขายสินค้าส่วนใหญ่ในราคาสูง ทำให้ลูกค้าจดจำว่าสินค้าราคาแพง ซึ่งอาจทำให้สูญเสียคนบางกลุ่มที่คิดว่ามันแพงจนเอื้อมไม่ถึงออกไป ทั้งที่ในความเป็นจริงแบรนด์ก็มีสินค้าอื่นๆที่ราคาไม่สูงจำหน่ายอยู่ด้วย
– แบรนด์แสดงออกว่าเชี่ยวชาญเรื่องใดเรื่องนึงแบบเฉพาะเจาะจงมากเกินไป จนผู้บริโภคคิดว่าแบรนด์อาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการทั่วไปให้กับเค้าได้ เป็นต้น
3. Confused positioning (การวางตำแหน่งสับสน)
ความพลาดนี้เกิดจากการที่จุดยืนของแบรนด์คุณ “ไม่มีความชัดเจน” เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ทำให้ผู้บริโภคไม่เข้าใจถึงคุณค่าของแบรนด์ที่คุณต้องการจะสื่อ
“ยกตัวอย่างเช่น”
– แบรนด์วางภาพลักษณ์หรูหรา แต่บางทีก็ลดระดับลงมาทำตลาดในตลาดระดับกลางหรือล่าง
– แบรนด์แสดงออกว่าเชี่ยวชาญในหลายด้าน จนลูกค้าไม่สามารถโฟกัสได้ว่าแบรนด์เก่งเรื่องไหนกันแน่
– แบรนด์นำเสนอประโยชน์แบบที่ขัดแย้งกันเอง เช่น แม้จะกินเยอะแต่น้ำหนักก็ยังลดได้ เป็นต้น
ซึ่งการวางจุดยืนของแบรนด์แบบนี้อาจทำให้ผู้บริโภคสับสน และเกิดความไม่แน่ใจในคุณค่าของแบรนด์ได้ครับ
4. Doubtful positioning (การวางตำแหน่งที่น่าสงสัย)
ความพลาดนี้เกิดจากการที่คุณวางจุดยืนของแบรนด์ “เว่อร์เกินไป” เมื่อเทียบกับสินค้าและราคาที่คุณนำเสนอ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสงสัยในความน่าเชื่อถือของแบรนด์
“ยกตัวอย่างเช่น”
– การเคลมว่า แบรนด์ของคุณดีที่สุดในประเทศไทย (โดยไร้การรับรอง)
– การเคลมว่า สินค้าของแบรนด์ให้ประโยชน์แบบครอบจักรวาล (ในราคาไม่สูง) เป็นต้น
ซึ่งในที่สุดการเคลมเหล่านี้จะส่งผลกระทบในทางลบต่อแบรนด์อย่างมาก หากสิ่งที่กล่าวอ้างไม่เป็นความจริงครับ
.
สุดท้ายนี้ผมอยากฝากให้ทุกคนลองกลับไปทบทวนจุดยืนของแบรนด์คุณดูกันนะครับว่ามีความผิดพลาดเหล่านี้อยู่รึเปล่า?
ถ้ามี รีบหาทางแก้ไขโดยด่วนนะครับ เพราะมันอาจกลายเป็นสาเหตุที่ทำลายธุรกิจของคุณได้เลย “ต้องระวังนะครับ”