คุณเคยสงสัยบ้างมั้ยครับว่า สินค้าของคุณมันจะอยู่ในตลาดได้อีกนานมั้ย? จะหมดความนิยมเมื่อไหร่? หรือควรจะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอย่างไรในแต่ละช่วงอายุของสินค้า? สินค้าแทบทุกชนิดบนโลกต่างก็มีวงจรชีวิตของมัน ไม่ต่างจากวัฏจักรชีวิตของมนุษย์นี่ล่ะครับ มีช่วงถือเกิดเนิด ช่วงรุ่ง ช่วงโตเต็มที่ และช่วงล่มสลาย แถมในยุคสมัยนี้ที่ทั้งเทคโนโลยีที่กว้างไกลและคู่แข่งที่มากมาย ยิ่งเร่งให้วงจรชีวิตของสินค้าดูจะสั้นลงไปทุกที วันนี้ผมจึงอยากนำ topic นี้มาคุยกันครับ
"วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ หรือ Product Life Cycle"
วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 4 stage ซึ่งแต่ละ stage ก็จะมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป และธุรกิจก็ต้องใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อแสวงหากำไรสูงสุดในแต่ละช่วงอีกด้วย ซึ่ง 4 stage ที่ว่า ได้แก่
1. Introduction Stage (ช่วงแนะนำ)
Stage นี้เป็นช่วงที่ธุรกิจเพิ่งปล่อยสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดครับ โดยธุรกิจมักจะต้องลงทุนเยอะที่สุดในช่วงนี้ ทั้งการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการลงทุนในการทำการตลาดเพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จัก โดยในขั้นนี้ ธุรกิจอาจจะยังมีลูกค้าไม่มากนัก และยอดขายก็มักจะต่ำ เพราะยังเป็นช่วงเริ่มสร้างตลาด รวมถึงต้นทุนในการผลิตก็จะสูงเพราะยังผลิตในปริมาณไม่มาก ส่งผลให้ธุรกิจอาจไม่มีกำไร หรือประสบภาวะขาดทุน
ช่วงนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นช่วงวัดใจเลยล่ะครับว่า สินค้าใหม่นี้จะอยู่หรือจะไป เป็นช่วงที่ธุรกิจต้องมีความอดทนในการสร้าง demand และสร้างตลาดให้ได้ ซึ่งหากพูดในแง่มุมของการทำโฆษณา ก็คงเป็นช่วงที่ธุรกิจต้องทุ่มงบในการสร้าง awareness กันอย่างหนักหน่วง เพื่อให้สินค้าของเราติดหูติดตาผู้บริโภคให้ได้ อย่างไรก็ตาม การทุ่มงบเยอะๆ ไม่ได้แปลว่าสินค้าของคุณจะประสบความสำเร็จเสมอไป คุณต้องพิจารณาควบคู่ด้วยว่า สินค้าของคุณมีศักยภาพพอที่จะเติบโตและสร้างรายได้ให้คุ้มกับต้นทุนของคุณรึเปล่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ต้องมีพื้นฐานมาจากทั้งตัวสินค้าที่ได้รับการคิดค้นมาอย่างดี ประกอบกับการวางแผนด้านการจัดการและการตลาดที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันไปด้วยครับ
ทั้งนี้ ระยะเวลาจากช่วงแนะนำมาเป็นช่วงเจริญเติบโตนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าจะนานเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจเลยครับ บางธุรกิจอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่บางธุรกิจอาจต้องใช้เวลาบิ้วท์กันเป็นปี ถึงได้บอกว่าเป็นช่วงที่ธุรกิจต้องมีความมุ่งมั่นและอดทนจริงๆ
2. Growth Stage (ช่วงเจริญเติบโต)
ผมขอเรียกช่วงนี้ว่าเป็นช่วงรุ่งโรจน์แล้วกันนะครับ ซึ่งถ้าคุณผ่าน Introduction Stage มาได้จนสินค้าเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดแล้ว ธุรกิจก็มักจะมีกำไรที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากทั้งยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นตาม demand ประกอบกับต้นทุนที่ลดลงจากการผลิตจำนวนมาก (Economies of scale) อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ธุรกิจได้รับกำไรสูงสุด แต่ธุรกิจก็จะประสบกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเช่นกัน เพราะคู่แข่งจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้น เมื่อคนอื่นเค้าเห็นว่าเราทำแล้วมีกำไร
ธุรกิจต้องพยายามรักษาช่วงรุ่งนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด โดยต้องพยายามนำกำไรที่ได้แบ่งมาลงทุนต่อยอดธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลงทุนทำการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ demand เติบโตอย่างต่อเนื่อง และต้องพยายามสร้างประสบการณ์ในการซื้อและใช้สินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพื่อให้เค้ากลับมาซื้อซ้ำหรือบอกต่อสินค้าของเรา อีกทั้งยังต้องพยายามบริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย เพื่อให้เกิด profit margin ของธุรกิจที่มากยิ่งขึ้น
3. Maturity Stage (ช่วงอิ่มตัว)
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวครับ คือกลุ่มเป้าหมายได้ซื้อหรือมีสินค้าประเภทนี้กันแทบหมดแล้ว ลูกค้าใหม่เริ่มมีน้อย แถมคู่แข่งก็เยอะ แย่งส่วนแบ่งตลาดกันไปอีก ส่งผลให้หลายธุรกิจในตลาด อาจจะเริ่มเห็นสัญญานของกำไรที่ลดลง
เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการดำเนินกลยุทธ์ในช่วงนี้คือ ธุรกิจต้องพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดของตัวเองเอาไว้อย่างดีที่สุด หรือพยายามเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของตัวเองผ่านการนำเสนอสิ่งที่แตกต่าง (differentiation) ซึ่งอาจทำได้ผ่านทั้งการโปรโมทด้วยแนวคิดใหม่ๆ หรือผ่านการเพิ่มคุณสมบัติที่แปลกใหม่ของสินค้าเพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจสินค้าของเรามากกว่าคู่แข่ง
4. Decline Stage (ช่วงถดถอย)
ช่วงนี้ตลาดของสินค้าประเภทนี้เริ่มเข้าสู่ภาวะตกต่ำครับ ผู้บริโภคเริ่มหันไปบริโภคสินค้าอื่นที่ใหม่กว่า หรือตอบสนองความต้องการได้มากกว่า ส่งผลให้ทั้งยอดขายและกำไรของธุรกิจในตลาดเริ่มปรับตัวลดลง จนบางธุรกิจอาจต้องถอดสินค้านั้นออกจากตลาดก่อนที่มันจะทำให้ขาดทุน
อย่างไรก็ตาม หากธุรกิจมีการวางแผนและการบริหารจัดการที่ดี แม้แต่ในช่วงถดถอย ธุรกิจก็อาจจะยังทำกำไรได้ผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีต้นทุนต่ำลง หรือการย้ายสินค้าไปขายยังตลาดใหม่ที่อยู่ในระดับต่ำลงมา
เล่ามาถึงจุดนี้ ทุกท่านคงพอเห็นภาพแล้วว่า หากธุรกิจมีการบริหารจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ดี (Product life cycle management) ก็จะช่วยให้ธุรกิจมีโอกาสได้รับกำไรสูงสุดในแต่ละช่วง แถมยังสามารถป้องกันความเสี่ยง และช่วยยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้นได้อีกด้วย
ลองกลับไปพิจารณากันดูนะครับว่า ตอนนี้สินค้าที่คุณกำลังขายอยู่มันอยู่ใน stage ไหนใน product life cycle แล้วคุณได้ดำเนินกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับ stage ที่คุณอยู่รึเปล่า? หรือมีการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ stage ต่อไปรึยัง?